การตัดต่อภาพยนต์และทฤษฏีวีดีโอ
การตัดต่อภาพยนต์ คือ การลำดับภาพจากภาพยนต์ที่ถ่ายทำไว้ โดยนำแต่ละฉากมาเรียงกันตามโครงเรื่อง จากนั้นใช้เทคนิคการตัดต่อให้ภาพและเสียงมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
ประเภทของการตัดต่อภาพยนต์
มีอยู่ 2 ประเภทได้แก่
- การตัดต่อแบบ Linear คือ การตัดต่อจากเทปวีดีโอ โดยที่ต้องมีเทปต้นฉบับ และเทปปล่าวเพื่อทำการบันทึกการตัดต่อ การตัดต่อชนิดนี้ต้องเริ่มจากต้นเรื่องไปจนจบเรื่อง ไม่สามารถกระโดดข้ามไปมาได้
- การตัดต่อแบบ Non – Linear เป็นการตัดต่อที่พัฒนามาจากแบบแรก โดยจะมุ่งเน้นไปในการแก้ไขที่ง่าย โดยการตัดต่อชนิดนี้จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก
ขั้นตอนการสร้างภาพยนต์
1.วางโครงเรื่อง เป็นการวางแผนชิ้นงานที่เราต้องการจะทำ เป็นการออกแบบเรื่องราวที่เราต้องการเรียบเรียง อย่างเช่น การสอนหนังสือ เราควรวางแผนว่าเราต้องถ่ายวีดีโอแบบใด เวลาพักเราต้องการอะไรมาคั่นรายการ โดยเราสามารถคิดและวาดขึ้นมา โดยเราเรียกขั้นแรกนี้ว่า การทำ Storyboard
2. การจัดเตรียมภาพยนต์ เป็นขั้นตอนที่เราต้องทำต่อจากการวางโครงเรื่องและนำมาประกอบกันเป็นเรื่องราวตาม Storyboard อย่างเช่น เราต้องถ่ายวีดีโอเกี่ยวกับงานสอน เราต้องถ่ายคลิปคั่นเวลา เป็นต้น
3. ตัดต่อภาพยนต์ เป็นการนำคลิปวีดีโอที่เราได้ทำการสอนไว้แล้วมาทำการตัดต่อ ให้ได้ดังโครงเรื่องที่เราคิดไว้ (เราสามารถแก้ไขในส่วนที่เราคิดไว้ได้ อย่างเช่น คลิปที่นำมา ไม่สวยไม่งาม ก็สามารถแก้ไขได้
4. แปลงไฟล์ภาพยนต์ เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการตัดต่อภาพยนต์ ซึ่งเราต้องนำชิ้นงานที่เราได้ถ่ายทำไปแล้วนั้นออกไปเผยแผ่ โดยผ่านสื่อต่างๆ
ระบบวีดีโอในปัจจุบัน
ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบ PAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล ( Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา
คุณสมบัติของไฟล์วีดีโอ
- Frame Rate คือ ความเร็วที่ใช้ในการแสดงภาพเคลื่อนไหวต่อ 1วินาที โดยที่เราต้องใช้คือ 25 เฟรมต่อวินาที (หมายถึง การเคลื่อนไหว 25 รูปต่อวินาที ซึ่งทำให้เรามองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว) โดยภาพยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 7 – 10 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของภาพยนต์การ์ตูน
- ขนาดของเฟรม เป็นขนาดของความกว้างคูณความยาของเฟรม เช่น Aspect Ratio เท่ากับ 4 : 3 ซึ่งหมายความว่าเป็นการแสดงผลที่เต็มจอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้แสดงผลเกี่ยวกับงานนำเสนอจำพวกข่าว ,หนังวีซีดี Aspect Ratio เท่ากับ 16 : 9 เป็นการแสดงผลที่ไม่เต็มจอ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการชมภาพยนต์ ดีวีดี
รู้จักกับฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ
- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
หน้าถัดไป : 02 รู้จักส่วนต่างๆของโปรแกรมตัดต่อภาพยนต์ Adobe Premiere Pro 2.0
ก่อนหน้า : 17. การนำไฟล์วีดีโอที่ผ่านการ Encode ลงในแผ่น วีซีดี
การตัดต่อภาพยนต์ คือ การลำดับภาพจากภาพยนต์ที่ถ่ายทำไว้ โดยนำแต่ละฉากมาเรียงกันตามโครงเรื่อง จากนั้นใช้เทคนิคการตัดต่อให้ภาพและเสียงมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน
ประเภทของการตัดต่อภาพยนต์
มีอยู่ 2 ประเภทได้แก่
- การตัดต่อแบบ Linear คือ การตัดต่อจากเทปวีดีโอ โดยที่ต้องมีเทปต้นฉบับ และเทปปล่าวเพื่อทำการบันทึกการตัดต่อ การตัดต่อชนิดนี้ต้องเริ่มจากต้นเรื่องไปจนจบเรื่อง ไม่สามารถกระโดดข้ามไปมาได้
- การตัดต่อแบบ Non – Linear เป็นการตัดต่อที่พัฒนามาจากแบบแรก โดยจะมุ่งเน้นไปในการแก้ไขที่ง่าย โดยการตัดต่อชนิดนี้จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นหลัก
ขั้นตอนการสร้างภาพยนต์
1.วางโครงเรื่อง เป็นการวางแผนชิ้นงานที่เราต้องการจะทำ เป็นการออกแบบเรื่องราวที่เราต้องการเรียบเรียง อย่างเช่น การสอนหนังสือ เราควรวางแผนว่าเราต้องถ่ายวีดีโอแบบใด เวลาพักเราต้องการอะไรมาคั่นรายการ โดยเราสามารถคิดและวาดขึ้นมา โดยเราเรียกขั้นแรกนี้ว่า การทำ Storyboard
2. การจัดเตรียมภาพยนต์ เป็นขั้นตอนที่เราต้องทำต่อจากการวางโครงเรื่องและนำมาประกอบกันเป็นเรื่องราวตาม Storyboard อย่างเช่น เราต้องถ่ายวีดีโอเกี่ยวกับงานสอน เราต้องถ่ายคลิปคั่นเวลา เป็นต้น
3. ตัดต่อภาพยนต์ เป็นการนำคลิปวีดีโอที่เราได้ทำการสอนไว้แล้วมาทำการตัดต่อ ให้ได้ดังโครงเรื่องที่เราคิดไว้ (เราสามารถแก้ไขในส่วนที่เราคิดไว้ได้ อย่างเช่น คลิปที่นำมา ไม่สวยไม่งาม ก็สามารถแก้ไขได้
4. แปลงไฟล์ภาพยนต์ เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการตัดต่อภาพยนต์ ซึ่งเราต้องนำชิ้นงานที่เราได้ถ่ายทำไปแล้วนั้นออกไปเผยแผ่ โดยผ่านสื่อต่างๆ
ระบบวีดีโอในปัจจุบัน
ระบบวีดีโอ มีความสัมพันธ์กับการนำไฟล์วีดีโอไปเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งไฟล์วีดีโอนั้นต้องนำไปเปิดกับโทรทัศน์ หรือเครื่องเล่นอื่นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการกำหนดค่าของระบบในวีดีโอในขั้นตอนการตัดต่อด้วย ซึ่งแต่ละประเทศจะใช้ระบบไม่เหมือนกัน คือ
- ระบบ PAL เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง แต่การเคลื่อนไหวไม่ค่อยราบรื่น โดยมีอัตราการแสดงภาพ (Frame Rate) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในหลายประเทศ โดยประเทศไทยก็ใช้ระบบนี้
- ระบบ NTSC เป็นระบบที่มีความคมชัดสู้ ระบบ PAL ไม่ได้ แต่การเคลื่อนไหวของภาพจะราบรื่นกว่าระบบ PAL เพราะมีอัตราการแสดงภาพ( Frame Rate ) 29.79 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ที่ประเทศญี่ปุ่น และอเมริกา
- ระบบ SECAM เป็นระบบที่มีความคมชัดสูง การเคลื่อนไหวของภาพมีความราบรื่น มีอัตราการแสดงผล ( Frame Rate ) 25 เฟรมต่อวินาที นิยมใช้ในแถบแอฟริกา
คุณสมบัติของไฟล์วีดีโอ
- Frame Rate คือ ความเร็วที่ใช้ในการแสดงภาพเคลื่อนไหวต่อ 1วินาที โดยที่เราต้องใช้คือ 25 เฟรมต่อวินาที (หมายถึง การเคลื่อนไหว 25 รูปต่อวินาที ซึ่งทำให้เรามองเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหว) โดยภาพยนต์ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 7 – 10 เฟรมต่อวินาที ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของภาพยนต์การ์ตูน
- ขนาดของเฟรม เป็นขนาดของความกว้างคูณความยาของเฟรม เช่น Aspect Ratio เท่ากับ 4 : 3 ซึ่งหมายความว่าเป็นการแสดงผลที่เต็มจอ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ใช้แสดงผลเกี่ยวกับงานนำเสนอจำพวกข่าว ,หนังวีซีดี Aspect Ratio เท่ากับ 16 : 9 เป็นการแสดงผลที่ไม่เต็มจอ โดยส่วนใหญ่จะใช้ในการชมภาพยนต์ ดีวีดี
รู้จักกับฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอประเภทต่างๆ
- AVI เป็นไฟล์มาตรฐานทั่วไปของไฟล์วีดีโอ มีความคมชัดสูง แต่ข้อเสียคือมีขนาดใหญ่ สามารถนำไปทำเป็นวีซีดี หรือดีวีดี ก็ได้ โดยผ่านกระบวนการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมนั้นๆ เช่น Nero , NTI
- MPEG เป็นฟอร์แมตของไฟล์วีดีโอที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากไฟล์มีขนาดเล็ก และมีคุณภาพที่หลากหลาย ตั้งแต่คมชัดที่สุด ไปถึงอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ โดยมีหลายรูปแบบดังนี้
- - MPEG – 1 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำวีซีดี โดยมีขนาดที่เล็กมากที่สุด - MPEG – 2 เป็นไฟล์ที่นิยมใช้ทำดีวีดี โดยไฟล์มีขนาดใหญ่ (แต่ไม่เท่า AVI) แต่คุณภาพในการแสดงผลมีความคมชัดสูง - MPEG – 4 เป็นไฟล์ที่กำลังได้รับความนิยมมากชึ้น เนื่องจากมีคุณภาพในการแสดงผลใกล้เคียงกับดีวีดี แต่เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมนำไปใช้ในโทรศัพท์มือถือ , อินเตอร์เน็ต - WMV เป็นฟอร์แมตมาตรฐานของ Windows มีคุณภาพที่ดีฟอร์แมตหนึ่ง นิยมนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต - MOV เป็นฟอร์แมตของโปรแกรม Quick Time ที่ใช้กับเครื่อง Apple แต่สามารถเปิดใน Windows ได้เช่นกัน - 3GP เป็นไฟล์ขนาดเล็ก นิยมใช้ในโทรศัพท์มือถือ
หน้าถัดไป : 02 รู้จักส่วนต่างๆของโปรแกรมตัดต่อภาพยนต์ Adobe Premiere Pro 2.0
ก่อนหน้า : 17. การนำไฟล์วีดีโอที่ผ่านการ Encode ลงในแผ่น วีซีดี
ความคิดเห็น